หุ่นเฟิร์มด้วยทริกง่าย ๆ เลี่ยงทำในทำตอนเย็นถ้าไม่อยากอ้วน

หุ่นเฟิร์มด้วยทริกง่าย ๆ เลี่ยงทำในทำตอนเย็นถ้าไม่อยากอ้วน

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าในช่วงเย็นไม่ควรทานอะไรเลย เพราะเวลานี้คนเราแทบไม่ได้ใช้พลังงานหนักการเผาผลาญจึงน้อย แต่ไม่ใช่แค่เพียงงดทานเท่านั้น ต้องดูในเรื่องของประเภทอาหารด้วย เพราะบางชนิดไม่ควรทานอย่างยิ่งในตอนเย็น ฉะนั้นเพื่อประสิทธิภาพในการลดหุ่นให้เฟิร์มต้องศึกษาและเลือกช่วงเวลาที่เหมาะสม ไปดูกันว่ามีเมนูไหนที่ควรเลี่ยง แม้ว่าจะอยากทานมากแค่ไหนก็ตาม 

1.เลี่ยงของทอดและเนื้อสัตว์ติดมันเพราะย่อยยาก อย่างที่เราบอกไปว่าช่วงเย็นคนเราแทบไม่ได้ทำกิจกรรมอะไรหนัก ๆ การที่ทานของทอดหรือมีไขมันสูงจึงทำให้อ้วนง่าย เพราะไขมันจะไปสะสม นอกจากนี้ยังทำให้นอนไม่หลับอีกด้วย

2.เลี่ยงของหวานอย่างไอศกรีม เป็นของทานเล่นที่คุณรู้สึกไปเองว่าเบา ๆ ทานได้เรื่อย ๆ แท้จริงแล้วคอเลสเตอรอลสูงมากทีเดียว ซึ่งจะไปรบกวนการนอนของคุณเพราะระบบย่อยอาหารเริ่มปั่นป่วน

3.น้ำหวานต่าง ๆ รวมไปถึงชาและกาแฟ ต้องบอกเลยว่าเครื่องดื่มประเภทที่เรากล่าวไปนั้นไม่ได้ส่งผลดีต่อร่างกายเลย แม้ว่าจะมีลักษณะเป็นของเหลวหรือน้ำก็ตาม เพราะส่วนประกอบหลักคือน้ำตาล หากทานในตอนเย็นอาจนอนไม่หลับและเกิดไขมันสะสม

4.เลี่ยงอาหารที่มีรสจัด หากไม่อยากเป็นหมีแพนด้าควรงดอาหารประเภทนี้ เพราะเครื่องเทศและสมุนไพรต่าง ๆ จะทำให้ระบบย่อยตื่นตัว ซึ่งจะไปรบกวนการนอนนั้นเอง

5.ผักใบเขียว พอมาถึงข้อนี้หลายคนคงอดสงสัยไม่ได้ว่าทำไมผักถึงเป็นสิ่งที่ควรเลี่ยง แต่เราไม่ได้บอกว่าจะต้องงดผักทุกชนิด เพราะมีเพียงบางชนิดเท่านั้น เช่น กะหล่ำปลี ดอกกะหล่ำ บรอกโคลีและกะหล่ำดาว ซึ่งในผักเหล่านี้มีแก๊สมาก หากทานเยอะเกินไปจะทำให้ระบบย่อยไม่ปกติ

กินให้ไม่อ้วนต้องทานมื้อเย็นด้วยวิธีนี้

  • เลือกทานอาหารในช่วงเวลาที่เหมาะสม ก่อนเข้านอนจะต้องรับประทานอาหารไม่ควรน้อยกว่า 3-4 ชั่วโมง หรือเวลา 18.00 – 19.00 น.
  • อาหารที่มีไขมันสูงจะต้องลี่ยงเลย เพราะย่อยยากอีกทั้งทำให้มีไขมันสะสม เช่น ของทอด เนื้อสัตว์ติดมัน รวมไปถึงของหวานด้วย เหล่านี้มีคอเลสเตอรอลสูง
  • เมนูที่ควรทานจะต้องมีพลังงานต่ำมาก ๆ เพราะดีต่อระบบเผาผลาญและการย่อย อาทิ เมนูที่มีโปรตีนสูง วิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ 
  • ผลไม้แม้จะเป็นของทานเบา ๆ แต่ไม่ขอแนะนำสำหรับคนที่ลดความอ้วน เพราะอาจทำให้ท้องอืดและรบกวนการนอน 
  • ก่อนจะทานอะไรก็ตาม แนะนำว่าให้ดื่มน้ำก่อนสัก 3-4 แก้ว ลดอาการหิวได้และอิ่มท้องไว

โรคนิ้วล็อคคืออะไร ใครมีความเสี่ยงบ้าง

โรคนิ้วล็อคคืออะไร ใครมีความเสี่ยงบ้าง

ปัจจุบันโรคนิ้วล็อคจัดได้ว่าเป็นโรคยอดฮิตที่พบได้ทั่วไปที่ใครก็เป็นได้ แม้อาการจะไม่ร้ายแรงแต่ส่งผลกระทบกับการปฏิบัติภารกิจในชีวิตประจำวันได้อย่างมีนัยสำคัญ เป็นหนึ่งในกลุ่มของโรคออฟฟิศซินโดรม ลักษณะของโรคเป็นอย่างไร ใครมีความเสี่ยงบ้างไปดูกัน

โรคนิ้วล็อค เป็นอาการที่นิ้วมือถูกล็อคไว้ไม่สามารถยืดเหยียดตรงได้ตามปกติ เกิดขึ้นบริเวณปลอกเอ็นตรงข้อโคนนิ้วมือหนาตัวขึ้น เอ็นบวม ปลอกรัดเอ็นบีบรัดมากขึ้น ทำให้มีอาการปวด และยึดข้อนิ้วจนไม่สามารถเหยียดตึงได้ตามปกติ ส่วนใหญ่พบในผู้หญิงวัยกลางคนอายุช่วง 40-50 ปี โดยแบ่งอาการออกเป็น 4 ระยะดังนี้

ระยะที่ 1 มีอาการปวดบริเวณโคนนิ้ว เมื่อลองหงายมือแล้วกดบริเวณโคนนิ้วจะปวด และปวดมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ยังไม่มีอาการสะดุดขณะงอหรือเหยียดนิ้วมือ

ระยะที่ 2 อาการปวดเพิ่มมากขึ้น เริ่มรู้สึกสะดุด เหยียดนิ้วได้ยากไม่ลื่นไหลตามปกติ บางครั้งต้องฝืนดีดนิ้วออก เป็น ๆ หาย ๆ

ระยะที่ 3 อาการปวดยังคงทวีเพิ่มขึ้น เกิดอาการยึดล็อคไม่สามารถเหยียดนิ้วมือด้วยมือข้างเดียวได้ ต้องใช้อีกมือช่วยแกะออก ขณะแกะจะปวดมากขึ้น

ระยะที่ 4 มีอาการบวม อักเสบ นิ้วมืองอล็อคติดไม่สามารถเหยียดออกเองได้ เมื่อใช้อีกมือพยายามแกะออกจะเจ็บปวดมาก ซึ่งไม่ควรปล่อยให้อาการถึงระดับนี้จึงมาพบแพทย์

ใครที่มีความเสี่ยงกับโรคนิ้วล็อคบ้าง

กลุ่มคนทำงานออฟฟิศ ที่ต้องใช้งานสมาร์ทโฟน แท็บเล็ต คอมพิวเตอร์ ที่มีการใช้นิ้วสัมผัสที่จะอยู่ในท่างอนิ้วมือต่อเนื่องนาน ๆ ทำให้ขาดการขยับเคลื่อนไหวให้เป็นไปตามธรรมชาติ

กลุ่มคนทำงานที่ใช้งานมือและนิ้วมือหนัก ๆ เช่น พนักงานแปล ข่าวบอล ผ่านเว็บไซต์,คนที่ต้องหิ้วของหนัก ๆ,ชาวสวน,งานช่างไม้,ทันตแพทย์,นักกอล์ฟ,แม่บ้าน,งานที่ต้องจับต้องกับแรงสั่นสะเทือนโดยตรง,การซักผ้าด้วยมือ และอาชีพอื่นๆที่เน้นการใช้มือหนัก ๆ บ่อย ๆ ต่อเนื่องนาน ๆ

กลุ่มที่เป็นโรคประจำตัวที่เสี่ยงต่อการเป็นโรคนี้ ได้แก่ โรคเก๊าท์ รูมาตอยด์ เบาหวาน โรคไต เป็นต้น

ในทุกวันที่เราใช้งานนิ้วมือหนักๆ ให้ใส่ใจบริหารนิ้วมือเป็นระยะ ๆ หรือแช่น้ำอุ่นพร้อมบริหารนิ้ว เพื่อช่วยให้ความยืดหยุ่นของเนื้อเยื่อยังคงทำงานได้ตามปกติ หากพบอาการผิดปกติแม้แต่น้อยให้เร่งปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้งานนิ้วมือ อาจต้องมีการปรับสลับหน้างานให้ได้พักนิ้วมือบ้าง หรือใช้อุปกรณ์ช่วยลดภาระนิ้วมือ การรู้ทันโรคเสียแต่เนิ่น ๆ ช่วยทำให้อาการไม่ไปต่อถึงระดับเป็นโรคที่ต้องเข้าร้บการรักษาด้วยยา หรือการผ่าตัด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อร่างกายส่วนอื่น รวมถึงสูญเสียงบประมาณในการรักษาด้วย

8 อาการปวดหัวที่เรียกว่า “ไมเกรน”

อาการปวดหัวที่เรียกว่าไมเกรน

โรคไมเกรน (Migraine) เป็นอาการปวดหัวเรื้อรังที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน มีสาเหตุจากการบีบและคลายตัวของหลอดเลือดแดงในสมองมากกว่าปกติ ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็ว มักเป็น ๆ หาย ๆ และอาจมีต่อเนื่อง จัดเป็นการปวดในระดับปฐมภูมิ พบมากในเพศหญิง และมีสาเหตุส่วนใหญ่มาจากความเครียดสะสม และอาจมีปัจจัยกระตุ้นอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น การเผชิญแสงแดดจัดจ้าเป็นเวลานาน หรือการอยู่ในที่ที่อุณหภูมิแตกต่างกันสลับไปมา เช่น ตากแดดจัดแล้วเข้าห้องแอร์บ่อยครั้ง, การอยู่ในที่ที่มีเสียงดังอึกทึก เป็นต้น อาการปวดอย่างไรจึงจะเรียกว่าไมเกรน ลองสังเกตอาการดังต่อไปนี้

ปวดหัวไมเกรน เป็นอย่างไร ?

1. มีอาการปวดหัวครึ่งซีก แล้วลามมาบริเวณท้ายทอย บางคนเริ่มปวดจากกระบอกตาซ้ายขวา แล้วค่อยร้าวลงมาที่ขมับอาจเป็นข้างเดียวหรือสองข้างพร้อมกัน ซึ่งจะปวดมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับความสามารถในการทนต่อความเจ็บปวดของร่างกายแต่ละคน

2. มีลักษณะปวดหน่วงตุบๆ เป็นช่วงๆ อาจจะเริ่มจากปวดห่าง ๆ ก่อนแล้วค่อยปวดมาก และถี่มากขึ้นหายังไม่ได้รับประทานยา

3. มีระดับความปวดปานกลาง ถึงมาก และมีโอกาสปวดต่อเนื่องนานตั้งแต่ 4-72 ชม.

4. กินยาแก้ปวดพาราเซตามอลไม่หาย ต้องมีการใช้ยาเฉพาะอาการทั้งการป้องกัน และรักษา ร่วมกับการกายภาพ

5. อาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนร่วมด้วย

6. ทนเสียงดังไม่ได้ ขณะปวดหากได้ยินเสียงดังจะยิ่งทวีอาการปวด

7. ปวดร่วมกับการมีรอบเดือน และอาจผสมปนเปกับการเป็นไข้ทับฤดู จึงต้องแยกแยะอาการปวดให้ดีว่ามาจากสาเหตุใดกันแน่

8. มีอาการนำแสดงก่อนที่จะมีอาการปวดหัว เรียกว่า ออร่า ส่วนใหญ่จะมีอาการนำทางสายตา เช่น แพ้แสง พร่ามัว เห็นแสงเป็นเส้น ๆ ระยิบระยับ แสงจ้าสะท้อน หรือเห็นภาพบิดเบี้ยว อาการนำด้านความรู้สึก จะมีอาการชาตามร่างกาย มือ แขน รอบปาก อาการนำที่ก้านสมอง มีอาการเบลอ เวียนหัว ทรงตัวยาก เดินเซ บางรายอาจรุนแรงถึงหมดสติ ซึ่งอาการเหล่านี้จะเกิดก่อนอาการปวดหัวราว 10-20 นาที

ในสถานการณ์ปัจจุบันที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบ และสภาวะเศรษฐกิจ สังคม ที่บีบคั้นต่อการเอาตัวรอดทำให้โรคไมเกรนถูกตรวจพบในผู้ป่วยวงกว้างขึ้นเรื่อย ๆ แม้จะยังไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงมากมายแต่มีผลกระทบอย่างมากในการใช้ชีวิตประจำวัน จึงควรต้องดูแลร่างกายให้ห่างไกลความเครียด เช่น การนอนหลับให้เพียงพอ ออกกำลังกาย นวดกดจุด นั่งสมาธิ หรือแม้แต่หาโอกาสท่องเที่ยวเพื่อการผ่อนคลายบ้าง และหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นดังกล่าวข้างต้น ก็จะช่วยรักษาระยะห่างจากโรคได้มาก

9 วิธีคลายเครียดระหว่างวันสำหรับพนักงานออฟฟิศ

วิธีคลายเครียดระหว่างวันสำหรับพนักงานออฟฟิศ

เราทุกคนเคยผ่านสนามความเครียด และมันเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาหายขาดได้ เราจึงต้องเรียนรู้วิธีขจัดมันอย่างฉลาดรวดเร็วเพื่อไม่ให้ตะกอนความเครียดสะสมเป็นฟองน้ำซับสร้างสารพัดโรคให้เกิดขึ้น เราจะจัดการกับมันได้อย่างไรบ้างมี 9 เทคนิคมามอบให้มนุษย์ออฟฟิศลองทำดู ดังนี้

หยุดเผชิญหน้ากับความเครียดสักพัก เพราะมนุษย์ไม่ใช่หุ่นยนต์ เมื่อเครียดให้ตั้งหลักด้วยการเปลี่ยนอิริยาบถ ย้ายตัวเองออกไปหาบรรยากาศใหม่ๆ ลุกเดินออกไปไกลๆ, เดิน-ขึ้นลงบันไดให้เหงื่อซึมก็ได้ผลดี หรือออกไปมองต้นไม้ใบหญ้าเขียว ๆ ยิ้มบริหารหน้าปลุกฮอร์โมนสุขให้ตื่น

สูดลมหายใจเข้าออกลึกๆเพิ่มออกซิเจนในสมอง ฝึกหายใจเข้าทางจมูกดึงให้ลึกที่สุดแล้วกลั้นหายใจไว้ 10 วินาที จากนั้นปล่อยลมออกทางปากช้า ๆจนสุด ทำซ้ำแบบนี้ 10 ครั้ง เทคนิคนี้ยังช่วยให้หน้าเด็กอีกด้วย ฝึกทำให้เป็นนิสัยดีสุขภาพกายใจสดใสแน่นอน

โยคะ 5 นาที ปลดปล่อยความหนัก ความรั้ง ตึง บนใบหน้า ปวดล้าบ่า-ไหล่ด้วยโยคะท่าง่าย เช่น การยืนเอามือเกาะพนักเก้าอี้แล้วยกขาชี้ไปด้านหลัง, การยกแขนเปิดรักแร้ขึ้นแล้วเอามืออ้อมไปจับกับอีกมือทางด้านหลังช่วยกระตุ้นต่อมน้ำเหลืองให้ไหลเวียน,บริหารหน้าทำหน้าเบี้ยวไปมาเหลือบตาขึ้นลง-ซ้ายขวา,ก้มลงเอามือแตะปลายเท้าส่งออกซิเยนไปเลี้ยงสมอง เป็นต้น

กลิ่นหอมอโรม่า หาอโรม่ารูปแบบที่เหมาะกับโต๊ะทำงาน เลือกกลิ่นหอมอ่อน ๆ สร้างความผ่อนคลาย

เพลงบรรเลงเบา ๆ ใส่หูฟังเปิดพลงบรรเลงเบาๆ ช่วยให้สงบเย็น ผ่อนคลาย

กินช็อกโกแลตดำ (Dark Chocolate) ช็อกโกแล็ตดำช่วยคลายเครียด มีสารต้านอนุมูลอิสระสูงมาก กินแล้วไม่อ้วน และยังดีต่อสุขภาพโดยรวมด้วย

ลุกไปทักทายเพื่อนร่วมงานต่างแผนก เป็นการย้ายจุดโฟกัสไปที่เรื่องอื่น ให้สมองได้พักสักครู่ ชวนเพื่อนพูดคุย เฮฮาพอสังเขปแล้วกลับมาจัดการงานต่อ

ขอคำปรึกษาหาทางออก เมื่อคลายเครียดด้วยตัวเองไม่ได้ผลก็ต้องหาตัวช่วยด้วยการขอความรู้ คำแนะนำจากคนที่มีประสบการณ์มากกว่าช่วยให้คลี่คลาย พบทางออกได้ง่าย และเร็วขึ้น

ช่างหัวมันเสียบ้าง ไม่มีใครสมบูรณ์พร้อมไปทุกอย่าง ทุกสิ่งล้วนมีสำเร็จ มีผิดพลาด มีล้ม มียืน เมื่อทำดีที่สุดแล้วให้บอกตัวเองว่า “ช่างมัน” ยอมรับในความผิดพลาดนั้น แล้วหาทางปรับปรุงในครั้งต่อไป ด

ความเครียดไม่ใช่ศัตรูตัวร้ายที่จะเกาะกุมชีวิตเราไปกาล หากเรามีสติตั้งรับ รู้ตัวให้เร็วแล้วเร่งกำจัดมันเสียความเครียดก็จะกลายเป็นโรคอายุสั้นที่เพียงผ่านมาแล้วผ่านไป จงใช้ชีวิตด้วยความระมัดระวังเรียนผูกต้องเรียนแก้ให้เป็น ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนจงฝึกฝนตัวเองให้ใช้ชีวิตอยู่อย่างคนที่มีปัญญา

3 ทัศนคติที่ทำให้คนอ้วนอารมณ์ดี

3 ทัศนคติที่ทำให้คนอ้วนอารมณ์ดี

คนส่วนใหญ่เมื่อรูปร่างได้เปลี่ยนแปลงจากเดิมจากที่เคยผอมก็กลายเป็นคนอ้วนก็จะเกิดความเครียด แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่กังวล เพราะคนอ้วนจำนวนไม่น้อยที่ไม่เกิดความเครียดเลย ที่เป็นเช่นนี้เพราะเกิดจากมุมมองที่แตกต่างกัน

ไม่พูดลบกับตัวเอง

คนที่เกิดความเครียดเมื่อมีรูปร่างอ้วน มักจะเปรียบเทียบกับคนอื่น ด้วยการพูดลบกับตัวเองว่า “ทำไมคนนั้นผอมจังเลยแล้วทำไมเราอ้วนจัง” ส่งผลให้สูญเสียความมั่นใจ ในทางตรงข้ามคนอ้วนที่อารมณ์ดีหรือมีชีวิตชีวาจะเห็นคุณค่าของตัวเองด้วยการหาข้อดีและหัดชมตัวเองแล้วหันมาพัฒนาข้อดียิ่งขึ้นไป เช่น การพัฒนาภายนอกอาจจะเป็นการแต่งตัวให้เหมาะสมกับตัวเอง เขาจึงไม่เกิดความรู้สึกด้อยกว่าคนอื่นที่ผอมเพรียวแต่อย่างใด

ยอมรับว่า “อ้วน”

การยอมรับในสิ่งที่เป็นหรือรูปร่างที่อ้วนท้วม ย่อมสร้างความสุขและยิ้มได้ง่ายเพราะเป็นการบ่งบอกว่ารักตัวเอง ถึงแม้ว่าคนอื่นจะพูดออกจากปากคำว่า ‘อ้วน’ ก็ไม่ใช่ปัญหาหรือกระทบจิตใจแม้แต่น้อย บางคนก็ควบคุมอารมณ์โกรธได้และขอบคุณคนที่พูดอย่างนั้นออกไปด้วยซ้ำ เนื่องจากเป็นการเรียนรู้ให้มีความเข้มแข็งขึ้นหรือมีความฉลาดทางอารมณ์ เพราะฉะนั้น การยอมรับว่า “อ้วน” จึงบ่งบอกว่า คนเราสามารถเลือกได้ด้วยตัวเองว่าจะมีความสุขหรือไม่ โดยไม่ได้ขึ้นอยู่กับคนอื่นแต่อย่างใด

ความอ้วนไม่ใช่สิ่งล้มเหลวในชีวิต

คนอ้วนที่เครียดมักจะคิดว่า ความอ้วนเป็นอุปสรรคในการใช้ชีวิตจนทำให้สูญเสียความมั่นใจ ในทางตรงข้ามคนอ้วนที่อารมณ์ดีมักจะมีทัศนคติที่ว่า ความอ้วนไม่ใช่สิ่งที่ทำให้ชีวิตล้มเหลว เพราะยังมีหลายสิ่งที่ทำให้ประสบความสำเร็จหรือสร้างความภาคภูมิใจได้ แม้จะเป็นเรื่องที่เล็กน้อยก็ตาม เช่น แทงบอลเต็ง บอลสเต็ป ชนะเดิมพัน หมายความว่า มีการดูแลเอาใจใส่และรับผิดชอบความฝันของตัวเองให้มากที่สุด ในแบบที่ไม่ใช่การใช้ชีวิตไปวัน ๆ

3 ทัศนคติที่ทำให้คนอ้วนอารมณ์ดีจากที่เราได้ดังกล่าวข้างต้น ก็จะช่วยให้คนอ้วนบางส่วนที่เกิดความกังวลเกี่ยวกับรูปร่างได้ปรับทัศนคติได้ดีขึ้น จนสามารถใช้ชีวิตในประจำวันอย่างมั่นใจ เพราะฉะนั้น หลีกเลี่ยงการมีทัศนติที่ไม่ดี เนื่องจากจะทำให้บั่นทอนจิตใจซึ่งไม่ก่อให้เกิดประโยชน์แต่อย่างใด

ที่สำคัญไม่ว่าคุณจะมีรูปร่างอ้วนหรือจะผอม ก็ไม่จำเป็นเท่ากับการมีสุขภาพแข็งแรง ดังนั้น จึงควรเน้นการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์หรือ ครบ 5 หมู่ และเลือกอาหารที่ปรุงแต่งน้อยที่สุด โดยเฉพาะปลา ผักและผลไม้ นอกจากนี้ให้ดื่มน้ำอย่างเพียงพอในแต่ละวัน รวมถึงออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อให้ออกซิเจนหล่อเลี้ยงทั่วร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โรคที่มากับฤดูฝนที่คุณควรระวัง

โรคที่มากับฤดูฝนที่คุณควรระวัง

โรคที่มากับฤดูฝนที่คุณควรระวัง

ในแต่ละฤดูกาล มีปัจจัยเสี่ยงต่อโรคต่าง ๆ กันไป และในปัจจุบัน ก็เป็นช่วงที่กำลังเข้าสู่ฤดูฝน เราจึงรวบรวมโรคที่คุณควรระวังสุขภาพตัวเองและบุคคลในครอบครัว มาฝากกัน ดังนี้

1. โรคฉี่หนู
เป็นโรคที่มาจากสัตว์กัดแทะ เช่น หนู เป็นพาหะ โดยในฉี่หนูมีเชื้อแบคทีเรียสามารถเข้าสู่ร่างกายของคนเราได้ผ่านทางบาดแผล เช่น แผลที่เท้า เมื่อติดเชื้อโรคฉี่หนูจะทำให้เกิดอาการไข้สูง รู้สึกปวดที่ขาอย่างรุนแรง มีจุดเลือดออกกระจายทั่วตัว หากรักษาไม่ทันอาจจะถึงขั้นเสียชีวิต เนื่องจากตับและไตวายได้

วิธีป้องกันที่ดีที่สุด คือ ต้องใส่รองเท้าบูทหากต้องย่ำบริเวณที่มีน้ำท่วมขัง เพื่อลดโอกาสที่เชื้อโรคจะเข้าสู่ผิวหนัง

2. โรคเยื่อบุตาอักเสบ
มีสาเหตุมาจากเชื้อไวรัสที่อยู่ในน้ำตาและขี้ตาอาจเกิดจากการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดหน้า หรือเกิดจากอุบัติเหตุ คือ มีน้ำสกปรกที่มีเชื้อโรคนี้กระเด็นเข้าดวงตา อาการที่จะเห็นได้ชัดเจน คือ บริเวณตาขาวจะเปลี่ยนเป็นสีแดง เนื่องจากเยื่อบุตาบวมอักเสบ ร่วมกับมีอาการคันตาอย่างมาก ซึ่งอาการนี้จะเป็นต่อเนื่องอยู่ประมาณ 2 สัปดาห์

วิธีรับมือ คือ ถ้ามีน้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา จำเป็นต้องรีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดในทันที หมั่นล้างมือบ่อย ๆ และไม่ใช้สิ่งของจำพวกผ้าเช็ดหน้าร่วมกับผู้อื่น

3. โรคอุจจาระร่วง
เป็นโรคที่พบได้บ่อย มาจากการรับประทานอาหารที่มีเชื้อแบคทีเรียและเชื้อบิดปนเปื้อน ผู้ที่ติดเชื้อจะมีอาการลำไส้อักเสบ มีการบีบตัวมากผิดปกติ จนเกิดอาการถ่ายเหลวและปวดหน่วง หากติดเชื้อบิดอย่างรุนแรง จะมีไข้สูง ตัวเหลือง ตาเหลืองหรือดีซ่าน อ่อนเพลียอย่างมาก
วิธีการป้องกัน คือ การรับประทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ ๆ และใช้ช้อนกลางเสมอ เมื่อต้องรับประทานอาหารร่วมกับผู้อื่น

4. โรคไข้เลือดออก
เป็นโรคที่มียุงลายเป็นพาหะนำโรค เมื่อถูกยุงที่มีเชื้อไข้เลือดออกกัด จะมีอาการแสดงที่สำคัญ คือ มีไข้สูงประมาณ 40 องศาติดต่อกันประมาณ 1 สัปดาห์ ใบหน้ามีสีแดงขึ้น มีอาการปวดอย่างรุนแรงตามกล้ามเนื้อและกระดูก อาเจียนปวดท้องอย่างรุนแรง และมีจุดขึ้นตามตัว หากไม่รีบรักษา จะทำให้อวัยวะภายในล้มเหลว และเสี่ยงเสียชีวิตสูง

วิธีการป้องกันดีที่สุด คือ การกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย การคว่ำภาชนะที่อาจจะเป็นแหล่งน้ำขัง จะทำให้ยุงลายวางไข่ไม่ได้ ทั้งนี้ หากสังเกตตัวเองหรือคนรอบข้างมีอาการผิดปกติดังที่กล่าวมา ต้องรีบพบแพทย์โดยเร็ว

จะเห็นได้ว่า มีโรคหลายชนิดที่มากับฤดูฝน และบางโรคก็มีความรุนแรงมาก จนถึงขั้นเสียชีวิตได้ เราหวังว่า บทความนี้จะทำให้ทุกท่านระมัดระวังการใช้ชีวิตประจำวัน และช่วยกันลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพื่อป้องกันตัวเองและคนรอบข้างให้ห่างไกลจากโรคต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น

เทคนิคสร้างสุขภาพดีที่ทุกคนควรทำปี 2020

เทคนิคสร้างสุขภาพดีที่ทุกคนควรทำปี 2020

การมีสุขภาพดี เป็นสิ่งที่ไม่สามารถหาซื้อจากที่ใดได้ ต้องทำด้วยตัวเองเท่านั้น ซึ่งในโอกาสปีใหม่ 2020 นี้ คนที่ต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเองให้มีสุขภาพกายและใจที่ดี เพียงรู้หลักการที่เหมาะสม ก็จะทำให้คุณเป็นคนใหม่ได้ไม่ยาก

เรามาดูกันว่าควรเริ่มต้นจากอะไรบ้าง

1. มองโลกในแง่ดี

ปัญหาสุขภาพจิตจะหายไป ถ้ามองโลกแง่ดีบ่อย ๆ โดยเฉพาะคนที่กำลังประสบปัญหาทางธุรกิจในยุคปัจจุบัน จากเศรษฐกิจการค้าที่ถดถอย ต้องไม่มัวแต่เครียด ควรมองอนาคตอย่างมีความหวัง และให้โอกาสตัวเองได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ฝึกทักษะที่จำเป็นมากขึ้น อาจพบเส้นทางใหม่ที่ทำให้ธุรกิจเติบโตต่อไปได้ดีกว่าเดิมด้วย

2. รับประทานอาหารที่มีคุณภาพ

อาหารดีที่มีคุณภาพสูง ไม่จำเป็นต้องราคาแพง แต่ต้องมีเกลือแร่และสารอาหารครบถ้วน เพื่อรักษาสมดุลของอวัยวะร่างกายทุกวัน ความเร่งรีบของคนรุ่นใหม่จำนวนมาก ทำให้รับประทานอาหารปิ้งย่างและอาหารจานด่วน ทำให้ขาดสารอาหารบางกลุ่มที่ในการดูแลระบบต่าง ๆ ให้ร่างกายแข็งแรง หากไม่สามารถรับประทานได้สม่ำเสมอ ก็ควรที่จะเสริมวิตามิน เช่น ธาตุเหล็กบำรุงเลือด แคลเซียมบำรุงกระดูก วิตามินรวมเพื่อให้ร่างกายสดชื่นขึ้น

3. ดื่มน้ำให้เพียงพอ

ในแต่ละวัน ร่างกายต้องใช้โมเลกุลน้ำทำปฏิกิริยาต่าง ๆ เพื่อให้ระบบอวัยวะทำงานได้ดี เช่น ช่วยให้สมองปลอดโปร่ง ทำให้หัวใจมีเลือดไหลเวียนดี ฯลฯ ทั้งนี้ เราทุกคนมีน้ำเป็นส่วนประกอบของร่างกายประมาณ 2 ใน 3 ส่วนของน้ำหนักตัวด้วย การดื่มน้ำวันละ 1 ลิตรครึ่ง จึงเป็นสิ่งจำเป็นมาก

4. มีวินัยในการออกกำลังกาย

การออกกำลังกายเป็นสิ่งที่จำเป็น ไม่ว่าคุณจะอยู่ในช่วงวัยใด เพียงออกกำลังกายวันละ 30 นาทีเป็นประจำทุกวัน เช่น ช่วงเช้า ตีห้าถึง 7 โมงเช้า หรือช่วงเย็น 17.00 น. ถึง 19.00 น. จะเห็นผลการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้นได้ จากผลการตรวจเลือด วัดความดัน ตรวจหาระดับน้ำตาลที่หมายถึงโรคเบาหวาน หากคุณมีปัญหาโรคประจำตัวเหล่านี้ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง 2-3 เดือน แล้วจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนอย่างแน่นอน

5. นอนพักผ่อนอย่างมีคุณภาพ

การนอนพักผ่อนเป็นสิ่งที่จำเป็น เพราะช่วง 4 ทุ่มถึง ตีสอง เป็นเวลาที่นาฬิกาชีวิตทำการซ่อมแซมร่างกาย โดยควรปรับสิ่งแวดล้อมในห้องนอนไม่ให้มีเสียงดัง ไม่มีแสงสว่าง และไม่มีอุปกรณ์ไอทีต่าง ๆ การให้สมองได้ปล่อยวางความเครียดและหลับลึก จะทำให้คุณภาพชีวิตช่วงกลางวันดีขึ้นด้วย

การดูแลตัวเองตามเทคนิคที่กล่าวมา สำคัญต่อคุณภาพและความสุขในการใช้ชีวิตต่อไปในปี 2020 ขอเพียงทำต่อเนื่องสม่ำเสมอ ทุกคนจะมีสุขภาพกายและจิตที่ดี และบรรเทาความเสี่ยงในการเกิดโรคต่าง ๆ ได้อย่างมาก

เรามาดูกันว่าควรเริ่มต้นจากอะไรบ้าง

สมุนไพรในครัว มีอะไรรักษาน้ำมูกหวัดได้

สมุนไพรในครัว มีอะไรรักษาน้ำมูกหวัดได้

ในช่วงฤดูฝนและฤดูหนาว จะมีผู้ป่วยเป็นโรคหวัด น้ำมูกไหล คัดจมูกจำนวนมาก โดยเฉพาะเด็กและผู้สูงอายุที่มีภูมิต้านทานไม่แข็งแรง และได้ได้ละอองฝน ร่วมกับมีการติดเชื้อจากผู้อื่น

เราจึงได้รวบรวมสมุนไพร ที่จะช่วยบรรเทาอาการมีน้ำมูก คัดจมูกจากหวัดได้ มาฝากกัน เพื่อลดความจำเป็นในการใช้ยาได้ ดังนี้

1. หอมแดง

หอมแดงที่เราใช้ทำอาหารเป็นประจำ สามารถนำมาใช้บรรเทาอาการหวัดคัดจมูกได้ โดยใช้หัวหอมแดง 1 กำมือ ทุบในครกให้พอแตก หลังจากนั้นนำไปต้มกับน้ำสะอาด 1 ลิตร จนเดือด แล้วถ่ายใส่ภาชนะใบใหญ่ หลังจากนั้นให้ก้มหน้าเหนือภาชนะห่างประมาณครึ่งฟุต แล้วให้คลุมศีรษะด้วยผ้าขนหนูผืนใหญ่ เพื่อให้สามารถสูดดมไอระเหยจากหอมแดงได้อย่างเต็มที่ ทำประมาณ 10 นาทีจะช่วยให้รู้สึกโล่งจมูกมากขึ้น ทำซ้ำวันละ 3-4 เวลา

2. ตะไคร้

นอกจากการใส่ในต้มยำแล้ว ต้นตะไคร้ยังสามารถรักษาหวัดได้ โดยนำต้นตะไคร้ขนาดที่พอเหมาะ 5 ต้นมาบุบให้แตก เพื่อให้มีน้ำมันหอมระเหยออกมา หลังจากนั้นจึงต้มกับน้ำสะอาด 1 ลิตร จนกระทั่งเดือด แล้ว กรองด้วยผ้าขาวบาง เพื่อนำเฉพาะส่วนน้ำตะไคร้ที่ได้ มาจิบบ่อย ๆ จะช่วยลดอาการน้ำมูกและคัดจมูกได้เป็นอย่างดี

3. ขิงแก่

ให้นำขิงแก่ 1 แง่ง มาหั่นเป็นแว่นบาง ๆ แล้วต้มกับน้ำสะอาด 1 ลิตรโดยใช้เวลาต้มประมาณ 10 นาที นำเฉพาะส่วนน้ำขิงมาดื่มในขณะที่ยังอุ่น ๆ อยู่ โดยดื่ม วันละ 3 เวลา จะช่วยลดอาการแน่นจมูกน้ำมูกไหลได้เป็นอย่างดี

4. พริกขี้หนูสวน

นำมา 1 กำมือ สับให้ละเอียดแล้วนำไปตากแดด 2-3 ชั่วโมง ให้แห้ง แล้วนำไปต้มกับน้ำเดือด กรองด้วยผ้าขาวบางเอาแต่ส่วนน้ำมาดื่มก่อนอาหาร จะช่วยให้ทางเดินหายใจโล่งขึ้น แต่สูตรนี้ไม่เหมาะกับเด็กและคนชราอาจจะแสบร้อนในลำคอ รวมถึงผู้ที่เคยเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ เพราะอาจทำให้แผลในกระเพาะกำเริบได้

5. กระเทียมสด

กระเทียมเป็นสมุนไพรใกล้ตัวที่สามารถลดอาการหวัดได้ โดยให้กินสดครั้งละ 1 หัว หรือประมาณ 8 กลีบ หรือเติมในเมนูอาหารประเภทยำก็ได้เช่นกัน เป็นเทคนิคที่ช่วยให้อาการคัดมูกน้ำมูกไหลลดลงได้อย่างรวดเร็ว

6. หญ้าใต้ใบ

เป็นสมุนไพรที่มีรสขม โดยนำต้นสดประมาณ 3-5 ต้น ล้างสะอาด ต้มกับน้ำให้เดือด แล้วกรองด้วยผ้าขาวบาง ใช้จิบบ่อย ๆ จะทำให้โล่งจมูก ลดน้ำมูกได้เร็วขึ้น

จะเห็นได้ว่าสมุนไพรในครัวใกล้ตัวเรา สามารถลดอาการน้ำมูกจากหวัดได้ง่าย ๆ หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกท่านเห็นประโยชน์ของสมุนไพรพื้นบ้านสำหรับรักษาหวัดมากขึ้น

กระเทียมเป็นสมุนไพรใกล้ตัวที่สามารถลดอาการหวัดได้

วิธีการควบคุมความดันโลหิตสูงที่เกิดจากอาหาร

วิธีการควบคุมความดันโลหิตสูงที่เกิดจากอาหาร

โรคความดันโลหิตสูงเป็นภาวะที่ทำให้มีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจเส้นเลือดในสมองแตก อัมพฤกษ์และอัมพาตได้ ซึ่งปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับความดัน นอกจากความเครียดและขาดการออกกำลังกายแล้ว คือ การได้รับเกลือโซเดียมจากอาหารต่าง ๆ ซึ่งจะมีฤทธิ์ทำให้บวมน้ำ ส่งผลให้ความดันเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก

ในบทความนี้ เราจึงได้รวบรวมวิธีการควบคุมความดันโลหิตสูงจากอาหารมาฝากกัน เพื่อให้ทุกท่านได้นำไปปรับใช้สำหรับการดูแลสุขภาพได้ดียิ่งขึ้น ดังนี้

1. หลีกเลี่ยงการเติมเกลือลงในอาหาร กรณีที่ทำอาหารรับประทานเอง ควรลดสัดส่วนน้ำปลา ซีอิ๊ว ซอสปรุงรส น้ำปลาร้า ฯลฯ ซึ่งเป็นต้นเหตุของการเพิ่มความดันในร่างกายได้

2. งดรับประทานขนมขบเคี้ยว เช่น มันฝรั่งทอดกรอบ ขนมปังแบบแท่งและแผ่นที่เติมเกลือเสริมสร้างรสชาติ ฯลฯ หรือลดการรับประทาน โดยเปลี่ยนจากการซื้อถุงใหญ่เป็นถุงเล็ก เพื่อจำกัดปริมาณในการรับประทานลง

3. งดรับประทานอาหารที่ใส่ผงชูรส เนื่องจากสูตรเคมีของผงชูรส คือ โมโนโซเดียมกลูตาเมต ที่มีฤทธิ์ในการเพิ่มความดันโลหิตสูงได้ อาจใช้วิธีทำอาหารรับประทานเองบ้าง และเมื่อรับประทานอาหารนอกบ้านก็ควรแจ้งแม่ครัวว่า ต้องการงดผงชูรสด้วย

4. กรณีนักกีฬา เช่น นักวิ่ง นักไตรกีฬา มักมีการดื่มเครื่องดื่มเสริมเกลือแร่เพื่อชดเชยที่สูญเสียไปกับเหงื่อ หลังออกกำลังกายต่อเนื่องหลายชั่วโมง ควรจำกัดปริมาณของเกลือแร่ที่ดื่มให้ไม่เกิน 1-2 ขวด เนื่องจากมีเกลือโซเดียมและน้ำตาลเป็นส่วนผสมปริมาณมาก ควรใช้วิธีการดื่มน้ำเปล่า คู่กับการรับประทานผลไม้สด เช่น แตงโม น้ำฝรั่ง น้ำมะพร้าว กล้วยหอม ฯลฯ เพื่อรับเกลือแร่ตามธรรมชาติแทนวิธีการควบคุมความดันโลหิตสูง

5. ลดการรับประทานเนื้อสัตว์ตากแห้ง เช่น หมูแดดเดียวทอด ปลาสลิดทอด รวมถึงอาหารแปรรูป เช่น แฮม ไส้กรอก กุนเชียง ฯลฯ เพราะจะมีการใช้เกลือในกระบวนการถนอมอาหารเป็นปริมาณสูง การรับประทานเป็นประจำ จะทำให้เสี่ยงต่อความภาวะความดันโลหิตสูงมากขึ้น

6. ลดการบริโภคเบเกอรี่ เค้ก คุกกี้ ขนมปัง เนื่องจากมักมีการใส่ผงฟูและวัตถุกันเสียสำหรับให้เก็บได้นานและทำให้อาหารน่ารับประทาน ซึ่งจะมีเกลือโซเดียมเป็นส่วนผสมอยู่ด้วย หากเป็นไปได้ควรทำขนมปังด้วยเครื่องแบบพกพารับประทานเอง จะสามารถปรับสัดส่วนของวัตถุดิบ และเติมธัญพืช เช่น งา อัลมอนด์ ข้าวโอ๊ต ฯลฯ ที่ให้กากใยและสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีต่อสุขภาพได้ด้วย

จะเห็นได้ว่า การควบคุมความดันโลหิตสูงจากการเลือกอาหาร เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ เพียงแค่ใส่ใจเพียงปฏิบัติให้เป็นกิจวัตร จะช่วยให้ทุกท่านห่างไกลจากโรคความดันโลหิตสูงได้อย่างแน่นอน